ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร? เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร? เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจ
Article

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร? เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจ

13 Aug 25

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือ ความสามารถคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งคืออะไรที่สำคัญมากในการเป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดขายของธุรกิจจากความได้เปรียบของ AI

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจจำนวนมากนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในปัจจุบัน ตั้งแต่การลดต้นทุนด้วยระบบอัตโนมัติไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่เหนือชั้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า AI คืออะไร และมีหลักการทำอย่างไร ประโยชน์ของ AI มีอะไรบ้าง และจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจในด้านต่าง ๆ ได้อย่างไร 


สารบัญบทความ


ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร? 

AI ย่อมาจากอะไร? AI ชื่อเต็มคือ Artificial Intelligence แปลเป็นไทยได้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่ง AI หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างให้มีความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ แยกแยะ ประมวลผล โต้ตอบ และตัดสินใจในลักษณะที่คล้ายคลึงกับสมองของมนุษย์ได้ โดย AI จะอาศัยการเรียนรู้จากข้อมูลประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ข้อความ วิดีโอ เสียง จำนวนมหาศาล 

ดังนั้น ความหมายของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จึงแตกต่างออกไปจากหุ่นยนต์ หรือเครื่องจักรกลอื่น ๆ เนื่องจาก AI คือระบบความคิดที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลียนแบบกระบวนการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ได้มีรูปร่างทางกายภาพที่จับต้องได้ แต่ AI จะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของหุ่นยนต์ ระบบ แอปพลิเคชัน กล้องวงจรปิด หรือฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน


AI มีหลักการทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ AI

การทำงานของ AI คือ การที่ระบบคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาให้เรียนรู้และตัดสินใจได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งหลักการทำงานของAI สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้ 

  1. 1. การรับข้อมูลของ AI (Data Input) ขั้นตอนแรกในการทำงานของ AI ปัญญาประดิษฐ์คือเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบข้อความ ตัวเลข รูปภาพ หรือเสียง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของระบบ
  2. 2. การประมวลผลและการเรียนรู้ของ AI (Processing & Learning) นำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์ คัดกรอง และเรียนรู้ผ่านอัลกอริธึมต่าง ๆ อย่างเช่น Machine Learning และ Deep Learning
  3. 3. AI วิเคราะห์และตัดสินใจ (Decision Making) เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ AI จะนำความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้ไว้มาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ และตัดสินใจว่าควรทำงานอย่างไร หรือคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เหมาะสมในแต่ละกรณี
  4. 4. การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) AI สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ และปรับปรุงอัลกอริธึม เพื่อพัฒนาความแม่นยำอย่างต่อเนื่อง
  5. 5. การนำไปประยุกต์ใช้งาน AI (Application) สุดท้ายการนำ AI ที่ผ่านกระบวนการฝึกฝนและพัฒนาแล้วไปใช้ในงานจริง เช่น AI ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค AI ระบบขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ หรือ AI ผู้ช่วยอัจฉริยะในโทรศัพท์มือถือ 

ทำไมธุรกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องมี AI 

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดช่องว่างความแตกต่างระหว่างธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยพนักงานแบบไม่ใช้ AI และธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างบริการที่ตรงใจ หรือการใช้ระบบตอบสนองลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจที่ใช้ AI พัฒนาได้เร็วกว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจที่ยังพึ่งพากระบวนการแบบเดิม อาจตามไม่ทัน และนำไปสู่ผลกระทบแบบโดมิโน เช่น ความสามารถในการแข่งขันต่ำลง และเสียส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว 


ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีกี่ประเภท

ประเภท AI

AI มีกี่ประเภท? ประเภทของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ สามารถจำแนกได้ 2 เกณฑ์หลัก ดังนี้ 

AI ที่แบ่งตามความสามารถ 

การแบ่งประเภท AI ตามความสามารถ หมายถึง การพิจารณาว่า AI นั้นสามารถคิด วิเคราะห์ หรือเลียนแบบมนุษย์ได้ในระดับใด ซึ่งแบ่งได้ 3 ระดับ ดังนี้ 

  • Artificial Superintelligence (ASI) หรือ AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ เป็นแนวคิดของ Artificial Intelligence ที่มีสติปัญญาเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ซึ่งแปลว่า ไม่ว่าจะเป็นทักษะการวางแผน ความคิดสร้างสรรค์ ความฉลาดทางอารมณ์ การตัดสินใจ หรือการสร้างนวัตกรรม AI ระดับนี้ก็สามารถได้ดีกว่ามนุษย์ทั้งหมด แต่ปัจจุบัน AI ประเภทนี้ยังเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น
  • Artificial General Intelligence (AGI) หรือ AI ระดับเดียวกับมนุษย์ คือ AI ที่สามารถเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหาได้หลากหลาย โดยไม่ต้องผ่านการฝึกฝน ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในกระบวนการวิจัยและพัฒนา
  • Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรือ AI เฉพาะทาง ที่สามารถทำงานได้ดีในงานเฉพาะด้านที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น Chat GPT ซึ่งเป็น Generative AI จาก OpenAI Google Assistant จาก Google Siri จาก Apple หรือ Alexa จาก Amazon

AI ที่แบ่งตามฟังก์ชันการทำงาน

การแบ่งประเภท AI ตามฟังก์ชันการทำงาน จะพิจารณาจากลักษณะการทำงานของ AI ว่าทำงานในรูปแบบใด มีความซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 

  • Self-aware AI เป็น AI ที่มีความรู้สึกนึกคิดและสำนึกในตัวเอง เหมือนมี "จิตสำนึก" เป็นระดับสูงสุดของ AI ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน
  • Theory of Mind เป็น AI ที่ในอนาคตจะสามารถเข้าใจอารมณ์ ความคิด หรือเจตนาของมนุษย์ได้ เพื่อโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ (อยู่ในขั้นตอนวิจัย)
  • Limited Memory เป็น AI ที่สามารถจดจำข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่ง และใช้ข้อมูลเหล่านั้นประกอบการตัดสินใจ เช่น ระบบรถยนต์ไร้คนขับที่จดจำเส้นทาง
  • Reactive Machines เป็น AI ที่ตอบสนองต่อข้อมูลแบบทันที แต่ไม่สามารถเก็บข้อมูลหรือเรียนรู้ได้ เช่น โปรแกรมหมากรุกยุคแรก 

5 ประโยชน์ของการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในเชิงธุรกิจ

ใช้ AI

การใช้ AI เปรียบเสมือนการมีเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพของธุรกิจอย่างรอบด้าน เพราะ AI มีประโยชน์มากมาย ดังนี้ 

1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การนำ AI มาใช้ในกระบวนการทำงาน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน เช่น Amazon นำระบบ Automation AI และหุ่นยนต์ AI มาใช้ในคลังสินค้า ทำหน้าที่ช่วยจัดเรียงและเคลื่อนย้ายสินค้า ทำให้การทำงานในขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนในการจ้างพนักงาน

2. ลดความผิดพลาดในการทำงานของพนักงาน

AI คือตัวช่วยสำคัญในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากมนุษย์ เช่น ความเหนื่อยล้าหรือการขาดสมาธิจดจ่อ โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น ในสายการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีการใช้เทคโนโลยี AI Vision ตรวจสอบคุณภาพสินค้าแทนการตรวจด้วยสายตามนุษย์ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดในการตรวจสอบรายละเอียด

3. ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า

AI มีบทบาทสำคัญในการทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าราบรื่น รวดเร็ว และตรงความต้องการมากขึ้น โดยสามารถปรับบริการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลแบบเรียลไทม์ เช่น ในธุรกิจ Fintech ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีบทบาทในการพัฒนาบริการทางการเงินที่ตอบสนองลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้า

4. มีความแม่นยำในการตัดสินใจ

ในงานที่ต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อน AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงได้ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ อาทิ ฟิล์มเอกซเรย์ หรือ CT Scan เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการใช้ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยลดข้อผิดพลาดจากการมองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ ได้

5. วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า

AI สามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจำนวนมากจากพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า เพื่อสร้างข้อสรุปและนำไปสู่การวางกลยุทธ์การตลาดได้ เช่น Netflix ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมของลูกค้าแต่ละราย เพื่อแนะนำคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้งาน ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและใช้เวลาในแพลตฟอร์มนานขึ้น ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 


ตัวอย่างของการใช้ AI ในปัจจุบัน

เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ในด้านใดบ้าง เราได้รวบรวมตัวอย่างการใช้งานระบบ AI ที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดังนี้ 

  • AI ในบริการรับชำระเงินออนไลน์ เช่น OMISE AI ที่มาพร้อมฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะและแดชบอร์ดอัตโนมัติที่ช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้แม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น 
  • AI ในการดูแลลูกค้า ด้วยแชตบอตอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามและให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • AI ในงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ AI ช่วยแต่งภาพ สร้างวิดีโอ เขียนบทความ หรือแต่งเพลง ด้วย ChatGPT, DALL·E, และ Midjourney เป็นตัวช่วยที่ลดเวลาในการผลิตสื่อและเนื้อหาที่กำลังได้รับความนิยมสูงมาก
  • AI ในการสรรหาพนักงาน (Recruitment AI) บางบริษัทมีการใช้ AI ช่วยคัดกรองใบสมัคร เพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง
  • AI ในการแนะนำสินค้าและคอนเทนต์ เช่น แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหรืออีคอมเมิร์ซก็มีการใช้ AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน เพื่อแนะนำสินค้าหรือคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจ
  • AI ในสายการผลิต โดยเฉพาะงานตรวจสอบคุณภาพสินค้า AI สามารถลดความผิดพลาดจากแรงงานมนุษย์ และเพิ่มความแม่นยำในการผลิตได้
  • AI ในการแพทย์และสุขภาพ สามารถใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น X-ray หรือ MRI เพื่อช่วยให้รังสีแพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตัวช่วยยุคใหม่ที่ทุกธุรกิจไม่ควรมองข้าม

ความหมายของ AI หรือ Artificial Intelligence หมายถึง เทคโนโลยีที่สามารถคิดและตอบสนองคล้ายกับสมองมนุษย์ ด้วยการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมาก ซึ่ง AI ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับศักยภาพของ AI ว่ามีอะไรบ้างจึงสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การนำ AI มาใช้ในธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม

เช่นเดียวกับการนำระบบรับชำระเงินออนไลน์มาใช้ในธุรกิจ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เสริมความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น KGP คือผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าด้วยช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น Meta Pay ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายผ่าน Facebook โดยลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต โมบายแบงก์กิ้ง หรือ QR Code ได้อย่างง่ายดาย พร้อมฟีเจอร์ “ช้อป–แชต–คอนเฟิร์ม” บน Facebook Messenger ที่ช่วยปิดการขายได้ในไม่กี่ขั้นตอน

KGP, Payment. Make It Smooth.

FB : kgpthailand

LinkedIn : Kasikorn Global Payment

www.kasikornglobalpayment.com

Related News/Articles

Follow Us