

Blockchain คืออะไร เจาะลึกเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกดิจิทัล
Blockchain คือ ตัวช่วยเสริมระบบความปลอดภัย ทั้งในการทำธุรกรรมทางการเงิน และตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างโปร่งใส และลดต้นทุนได้
Blockchain คือ หนึ่งในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับการทำธุรกรรม ระบบการเงิน การทำงานของระบบแอปพลิเคชัน ไปจนถึงการทำงานของ Smart Contract และอื่น ๆ ได้มากยิ่งขึ้น ด้วยจุดเด่นด้านการเสริมความปลอดภัยของระบบชำระเงินออนไลน์ ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดการทุจริตได้เป็นอย่างดี จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของ Cryptocurrency ที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนี้ โดยที่เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อมกัน ทั้งเรื่องความหมายของ Blockchain, Blockchain คืออะไร และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังสนใจเรื่องนี้ได้อย่างตรงจุดแน่นอน
สารบัญบทความ
- Blockchain คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
- องค์ประกอบของ Blockchain มีอะไรบ้าง
- Blockchain มีกี่ประเภท
- Blockchain สำคัญต่อธุรกรรมทางการเงินอย่างไร
- Blockchain ทำงานอย่างไร
- คุณสมบัติของ Blockchain มีอะไรบ้าง
- ข้อดีของ Blockchain คืออะไร
- ธุรกิจสามารถนำ Blockchain ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง
- สรุป Blockchain คืออะไร ระบบพื้นฐานที่ทำให้ธุรกรรมโปร่งใส่มากขึ้น
Blockchain คืออะไร?
Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่เชื่อมโยงข้อมูลกันเป็นสายโซ่ (Chain) โดยแต่ละหน่วยข้อมูลเรียกว่า “บล็อก” (Block) ซึ่งแต่ละบล็อกจะรายการธุรกรรมต่าง ๆ เอาไว้ และเมื่อมีการสร้างบล็อกใหม่ ระบบจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับบล็อกก่อนหน้าด้วยหลักการเข้ารหัส (Cryptography) ทำให้ข้อมูลเกิดความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ หลังจากที่บล็อกใดบล็อกหนึ่งถูกยืนยันแล้ว ด้วยกระบวนการบันทึกและยืนยันธุรกรรม ที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย Peer-to-Peer ของโหนด ที่ทำงานร่วมกันผ่าน Consensus Mechanism เช่น Proof of Work หรือ Proof of Stake ที่ช่วยให้ทุกโหนดเห็นบันทึกเดียวกันเสมอ
Blockchain Technology สามารถป้องกันการทุจริต หรือการแก้ไขข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุมัติได้ ทำให้
ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของ Blockchain จึงสูงกว่าระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ และในปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ถูกใช้งานแพร่หลายในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) อย่าง Bitcoin และ Ethereum และกำลังขยายการใช้งานไปสู่ภาคธุรกิจอื่น ๆ เช่น การจัดการซัพพลายเชน การทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) การพิสูจน์ตัวตน และการจัดเก็บข้อมูลทางการแพทย์หรือสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา ส่งผลให้ช่วยสร้างระบบนิเวศน์ดิจิทัลที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และไร้ตัวกลางในการตรวจสอบข้อมูลได้อย่างแท้จริง
องค์ประกอบของ Blockchain มีอะไรบ้าง
เทคโนโลยีบล็อกเชนประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบที่มีความปลอดภัยและโปร่งใส ได้แก่
- Block (บล็อก) เปรียบเสมือนกล่องเก็บข้อมูล แต่ละบล็อกจะรวบรวมรายการธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเครือข่าย โดยบล็อกจะมีส่วนที่เรียกว่า Header ซึ่งเป็นข้อมูลสรุปของบล็อกนั้น ๆ เพื่อให้ระบบสามารถระบุตัวตนและตรวจสอบข้อมูลได้
- Chain (เชน) คือการนำบล็อกมาเรียงต่อกันเป็นห่วงโซ่ แต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมโยงกับบล็อกก่อนหน้า ทำให้เกิดการบันทึกข้อมูลธุรกรรมที่เป็นลำดับอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกจัดเก็บไว้ในบัญชีแยกประเภท (Ledger) และสำเนาจะถูกแจกจ่ายให้กับทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ (Node) ในเครือข่าย
- Consensus (ฉันทามติ) คือกลไกที่ใช้สำหรับให้ทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายตกลงร่วมกันว่าข้อมูลที่ถูกต้องและควรถูกบันทึกลงในบล็อกใหม่ เพื่อป้องกันการแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลจากคนใดคนหนึ่ง กลไกนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับบล็อกเชน
- Validation (การตรวจสอบ) เป็นกระบวนการที่ทุกเครื่อง (Node) ในเครือข่ายจะช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและธุรกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียดก่อนที่จะเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปในห่วงโซ่ ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่บันทึกไว้มีความถูกต้องและเป็นไปตามข้อตกลงของระบบ
Blockchain มีกี่ประเภท
นอกจากการเรียนรู้ว่า Blockchain คืออะไรแล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของ Blockchain ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมาก เพื่อให้คุณเข้าใจโครงสร้างการใช้งานจริงได้อย่างดี
- บล็อกเชนสาธารณะ (Public Blockchain) เครือข่ายที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าร่วมเป็นโหนด สร้างธุรกรรม และตรวจสอบบล็อก เช่น Bitcoin และ Ethereum ทำให้มีความกระจายศูนย์สูง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยประสิทธิภาพการประมวลผลที่ต่ำกว่าแบบส่วนตัว
- บล็อกเชนส่วนตัว (Private Blockchain) เป็นรูปแบบที่จัดการโดยองค์กรเดียว ทำให้ควบคุมการเข้าถึงผู้เข้าร่วมได้เพียงโหนดภายในองค์กรเท่านั้น ทั้งสำหรับการอ่านและเขียนข้อมูล เหมาะกับการใช้งานภายในบริษัท ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและความเร็วในการทำธุรกรรมสูง
- บล็อกเชนกลุ่มองค์กร (Consortium Blockchain) ระบบ Blockchain แบบ permissioned ที่ดูแลโดยกลุ่มองค์กรหรือสมาคม ซึ่งร่วมกำหนดนโยบายการทำงานและอนุมัติธุรกรรม ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กร แต่ยังคงควบคุมสิทธิ์ให้มีผู้เข้าถึงได้อย่างเหมาะสม
Blockchain สำคัญต่อธุรกรรมทางการเงินอย่างไร
Blockchain คือ ตัวหลักที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการปฏิรูปธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัย เนื่องจากการใช้กลไกการเข้ารหัส (Encryption) ร่วมกับกระบวนการฉันทามติ (Consensus) สามารถช่วยป้องกันการแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลย้อนหลังได้ ทำให้ธุรกรรมไม่สามารถถูกปรับเปลี่ยนได้หลังการบันทึก ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความโปร่งใสของ Blockchain ที่เปิดให้ทุกโหนดยืนยันและตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมได้ ยังส่งผลให้ลดความเสี่ยงการทุจริตและข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาในอนาคตได้อีกด้วย
ที่สำคัญระบบกระจายศูนย์ (Decentralization) ของบล็อกเชนยังช่วยขจัดตัวกลางออก ลดต้นทุนค่าธรรมเนียม และระยะเวลาในการดำเนินการธุรกรรมแบบ Peer-to-Peer ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญของนวัตกรรมทางการเงินยุคใหม่ เช่น การชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-Border Payments) สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็นดิจิทัล (Tokenization) ที่ช่วยขยายขอบเขตบริการและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้อย่างมหาศาลอีกด้วย
Blockchain ทำงานอย่างไร
Blockchain คือ เทคโนโลยีที่มีหลักการทำงานมากมาย ที่ช่วยสนับสนุนระบบความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งระบบการทำงานของ Blockchain จะมีลำดับขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้
1. เมื่อมีการส่งคำสั่งโอนมูลค่าหรือข้อมูล ธุรกรรมจะถูกสร้างขึ้นพร้อมข้อมูลผู้ส่ง ผู้รับ และจำนวนหรือข้อมูลที่ต้องการบันทึก
2. ธุรกรรมที่รอดำเนินการจะถูกรวบรวมเข้าไปในบล็อก โดยมีการคำนวณแฮชของบล็อกด้วยข้อมูลธุรกรรมและแฮชของบล็อกก่อนหน้า เพื่อเช็กความถูกต้องของข้อมูล
3. บล็อกที่สร้างขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังโหนดทุกตัวในเครือข่าย Peer-to-Peer เพื่อให้แต่ละโหนดได้รับสำเนาบล็อก และเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบต่อไป
4. โหนดในเครือข่ายจะตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกตามกฎฉันทามติ เช่น Proof of Work หรือ Proof of Stake โดยหากเงื่อนไขครบถ้วน บล็อกจะได้รับการยืนยันและถือว่าถูกต้อง
5. เมื่อผ่านการยืนยัน บล็อกจะถูกเชื่อมต่อกับปลายสุดของ Chain บล็อกเดิม โดยแฮชของบล็อกก่อนหน้าจะถูกบันทึกไว้ในบล็อกใหม่ ทำให้ข้อมูลย้อนหลังไม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่เปลี่ยนแฮชทั้งหมด
6. หลังจากเพิ่มบล็อกแล้ว เครือข่ายจะอัปเดตสำเนา Blockchain ทั้งหมด ซึ่งธุรกรรมจะถือว่าสมบูรณ์และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา
คุณสมบัติของ Blockchain มีอะไรบ้าง
Blockchain ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญหลายด้าน ที่ทำงานประสานกันเพื่อให้ระบบมีความปลอดภัย โปร่งใส ซึ่งสามารถแบ่งแยกได้หลัก ๆ ดังนี้
- เครือข่ายกระจายศูนย์ (Decentralized Network) Blockchain ไม่มีหน่วยงานกลางควบคุม ข้อมูล โดยที่ข้อมูลจะถูกเก็บสำเนาไว้ในโหนดหลายแห่งทั่วเครือข่าย ช่วยลดจุดบอดที่อาจถูกโจมตีหรือขัดขวางได้
- บัญชีแบบกระจาย (Distributed Ledger) ทุกโหนดในเครือข่ายจะมีสำเนาเล่มบันทึกร่วมกัน ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติธุรกรรมและสถานะบัญชีได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำ
- กลไกฉันทามติ (Consensus) โหนดต้องเห็นพ้องกันก่อนจะบันทึกบล็อกใหม่ลงใน Chain เช่น Proof of Work หรือ Proof of Stake เพื่อช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมที่เพิ่มเข้ามาเป็นไปตามกฎของระบบ
- ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ (Immutability/Finality) เมื่อข้อมูลถูกบันทึกแล้วจะไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้ ทำให้ประวัติการทำธุรกรรมมีความน่าเชื่อถือสูง
- ความปลอดภัย (Security) การใช้อัลกอริธึมเข้ารหัส เช่น SHA-256 และโครงสร้างเชื่อมโยงระหว่างบล็อก เป็นส่วนที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงและการโจมตีข้อมูลได้เป็นอย่างดี
- ความน่าเชื่อถือ (Trust) ระบบที่ไม่พึ่งพาตัวกลางและผู้เข้าร่วมเครือข่าย เป็นส่วนที่ร่วมกันรับรองความถูกต้องของธุรกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบได้โดยอัตโนมัติ
- การตรวจสอบย้อนกลับได้ชัดเจน (Auditability/Provenance) การบันทึกทุกธุรกรรมพร้อมกับการลงเวลาบันทึก ช่วยให้สามารถตรวจสอบและติดตามที่มาของข้อมูลได้อย่างชัดเจน
- ความโปร่งใส (Transparency) โครงสร้างระบบเปิดให้ผู้มีสิทธิ์ดูข้อมูลทั้งหมดใน Ledger ได้ ส่งเสริมความรับผิดชอบและลดข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาได้เป็นอย่างดี
- ทนทานต่อการปลอมแปลง (Tamper-proof) เมื่อรวมคุณสมบัติ Immutable, Secure และ Transparent แล้ว ทำให้ระบบยากต่อการดัดแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของระบบนี้
- ความไม่เปิดเผยตัวตน (Anonymity) แม้ธุรกรรมจะเปิดเผยสู่เครือข่าย แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนจริงของผู้ทำธุรกรรม ช่วยเสริมความปลอดภัยได้อีกหนึ่งระดับ
ข้อดีของ Blockchain คืออะไร
จากการเป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเสริมด้านความปลอดภัย จึงทำให้ Blockchain มีข้อดีในด้านต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผลที่เกิดขึ้นกับข้อมูล การทำธุรกรรม และส่วนอื่น ๆ นั้น จะพบเห็นได้หลัก ๆ ดังนี้
- การกระจายศูนย์ของข้อมูล การไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง ทำให้ระบบจะไม่เสียหายได้ง่ายหากเกิดปัญหาจากจุดเดียวที่ล้มเหลว ด้วยการใช้ทุกโหนดร่วมกันรับรองความถูกต้องของเครือข่าย
- ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลย้อนกลับได้ เมื่อบันทึกข้อมูลลงบน Blockchain แล้ว จะไม่สามารถแก้ไขหรือลบข้อมูลได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในประวัติการทำธุรกรรมได้มากขึ้น
- ความปลอดภัยขั้นสูง การใช้อัลกอริธึมเข้ารหัสร่วมกับกลไกฉันทามติ เป็นส่วนที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงและการโจมตีข้อมูลย้อนหลังได้เป็นอย่างดี
- ความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกพร้อมการลงเวลา ซึ่งผู้มีสิทธิ์สามารถตรวจสอบย้อนหลังและติดตามที่มาของข้อมูลได้เสมอ
- ลดต้นทุนและเวลาของการทำธุรกรรม การลดจำนวนตัวกลางหลายชั้น ลดค่าธรรมเนียม และเร่งความเร็วในการดำเนินธุรกรรมแบบ Peer-to-Peer เป็นส่วนที่ช่วยให้ระบบหลายส่วนจะมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น
- การติดตามข้อมูลย้อนกลับ ระบบ Blockchain เหมาะกับการจัดการซัพพลายเชน หรือทรัพย์สินดิจิทัล เพราะจะทำให้สามารถติดตามสินค้า หรือข้อมูลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้อย่างครบถ้วน
- รองรับสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) การเขียนเงื่อนไขให้ระบบรันอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขถูกต้อง สามารถช่วยลดข้อผิดพลาดจากกระบวนการด้วยมือได้มากกว่าในอดีตอย่างชัดเจน
- ความทนทานต่อการโจมตี เครือข่ายที่กระจายข้อมูลไปยังโหนดหลายแห่ง ทำให้ยากต่อการโจมตีแบบ และพร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
ธุรกิจสามารถนำ Blockchain ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง
ในปัจจุบัน Blockchain ถูกนำไปใช้งานกับประเภทธุรกิจต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากประโยชน์ที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน การรองรับระบบธุรกรรมออนไลน์ ไปจนถึงระบบ API ต่าง ๆ ซึ่งสามารถพบเห็นตัวอย่างได้ ดังนี้
ธุรกิจด้านการเงิน
ในทางการเงิน Blockchain คือ สิ่งที่ช่วยให้การดำเนินธุรกรรมแบบกระจายศูนย์เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และลดต้นทุนตัวกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การโอนเงินด้วย Ripple ที่ทำให้ธนาคารสามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้เรียลไทม์ ลดค่าธรรมเนียมและความล่าช้า หรือแพลตฟอร์ม We.trade ที่ลดการทำงานของระบบเอกสารการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ Trade Finance ให้ได้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น
ธุรกิจด้านสื่อบันเทิง
ภาคสื่อและความบันเทิงมีการใช้ Blockchain ในการจัดการสิทธิและการจ่ายค่าลิขสิทธิ์อย่างโปร่งใส เริ่มตั้งแต่ระบบกระจายเนื้อหาแบบ Peer-to-Peer ที่ลดคนกลาง, Smart Contract สำหรับจ่ายค่า Royalty Program แบบอัตโนมัติเมื่อผลงานถูกใช้งาน, แพลตฟอร์มติดตามการดูเนื้อหาเพื่อคำนวณรายได้ตามจริง ไปจนถึงการ Tokenize งานสร้างสรรค์ให้เป็น NFT เพื่อให้แฟนคลับสามารถเป็นเจ้าของชิ้นงานดิจิทัล และสร้างรายได้ใหม่ให้กับศิลปินได้อย่างยั่งยืน
ธุรกิจด้านการค้า
ในส่วนของการค้าปลีกและซัพพลายเชน มีการถูกนำมาใช้เพื่อติดตามสินค้าแต่ละชิ้นจากต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างโปร่งใส ลดปัญหาสินค้าปลอม และยืนยันแหล่งที่มาว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทำให้สตาร์ตอัปหลายรายสร้างระบบตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถตอบคำถามผู้บริโภคได้ทันทีว่าสินค้านี้มาจากไหน และลดความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ธุรกิจด้านพลังงาน
สำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน Blockchain เปิดโอกาสอย่างหลากหลาย ทั้งการทำให้เกิดการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer ระหว่างผู้ผลิตรายย่อยและผู้บริโภคโดยตรง, ระบบจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่ปรับบาลานซ์การจ่ายไฟอัตโนมัติ, การเทรดคาร์บอนเครดิตบนตลาดดิจิทัล, การออก Renewable Energy Certificates (REC) และการ Tokenize สินทรัพย์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความโปร่งใสในการลงทุนด้านพลังงานสะอาด
สรุป Blockchain คืออะไร ระบบพื้นฐานที่ทำให้ธุรกรรมโปร่งใส่มากขึ้น
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกันแล้วว่า Blockchain คืออะไร และสำคัญอย่างไร น่าจะทำให้หลายคนได้เห็นถึงประโยชน์ และตัวอย่างของการนำ Blockchain ไปใช้งานจริงขึ้นมากันบ้างแล้ว ดังนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจหลักการทำงานและศักยภาพว่าเทคโนโลยี Blockchain คือ เทคโนโลยีพื้นฐานที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไร้ตัวกลาง ซึ่งการนำเทคโนโลยีนี้ ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจของคุณ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลในอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพแน่นอน
KGP, Payment. Make It Smooth.
LinkedIn : Kasikorn Global Payment
อ้างอิง
1. พรรณนิภา รอดวรรณะ. (มกราคม 8, 2564). สิ่งที่นักบัญชียุคใหม่ควรทราบ ตอนที่ 1 ความรู้ขั้นพื้นฐานด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain). สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์. https://www.tfac.or.th
ข่าวสารและกิจกรรมอื่น ๆ
ติดตาม KGP ผ่านโซเชียลมีเดีย